Ethereum Classic (ETC) คืออะไร?

Ethereum Classic (ETC) เป็นผลผลิตจากการแยกตัวของ Ethereum หลังจากเหตุการณ์การแฮ็ก DAO ที่เกิดขึ้นในปี 2016 แต่แทนที่จะเดินตามเส้นทางเดิม Ethereum Classic ได้เลือกที่จะยึดมั่นในหลักการ “Code is Law” ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจเส้นทางและความเป็นมาของ Ethereum Classic ทำความเข้าใจกลไกการทำงาน และสำรวจความเป็นไปได้ของมันในอนาคตของโลกการเงินและเทคโนโลยี

Ethereum Classic (ETC) คืออะไร?

Ethereum Classic (ETC) เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนและเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เกิดจากการแยกตัวจาก Ethereum (ETH) ซึ่งเป็นหนึ่งในบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงในโลกของสกุลเงินดิจิทัล Ethereum Classic ได้มีต้นกำเนิดมาจากเหตุการณ์สำคัญคือการแฮ็ก DAO (Decentralized Autonomous Organization) ในปี 2016 ซึ่งเป็นการถูกโจมตีทางไซเบอร์ที่ส่งผลให้เงินจำนวนมากถูกขโมยไป

ในขณะที่ Ethereum ตัดสินใจที่จะดำเนินการ Hard Fork หรือการแยกเครือข่ายเพื่อคืนเงินให้กับผู้ถูกโจมตีและแก้ไขปัญหา กลุ่มอีกส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ เพราะเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้ละเมิดหลักการที่ว่า “รหัสคือกฎหมาย” ซึ่งหมายความว่าธุรกรรมที่บันทึกไว้ในบล็อกเชนควรจะถือว่าเป็นสุดท้ายและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยเหตุนี้ กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยจึงเลือกที่จะสนับสนุน Ethereum Classic ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ยังคงเวอร์ชันเดิมก่อนการ Hard Fork

Ethereum Classic ดำเนินงานตามหลักการของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เน้นความโปร่งใสและการไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ และยังคงใช้กลไกการยืนยันการทำธุรกรรมผ่าน Proof of Work (PoW) เหมือนกับ Ethereum ในช่วงแรกๆ การแยกตัวนี้ได้สร้างความแตกต่างระหว่างสองเครือข่ายที่มีฐานรากมาจากที่เดียวกันแต่มีวิสัยทัศน์และการพัฒนาที่แตกต่างกันไป

ประวัติ

ประวัติความเป็นมาของ Ethereum Classic (ETC) เริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีบล็อกเชน คือ การแฮ็ก DAO ในปี 2016 DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นกองทุนเวนเจอร์แคปิตอลที่ดำเนินการโดยอัตโนมัติบนบล็อกเชนของ Ethereum และเปิดโอกาสให้ผู้ถือโทเคน DAO สามารถลงคะแนนเสียงเพื่อลงทุนในโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชน Ethereum

ในเดือนมิถุนายน 2016, DAO ถูกแฮ็กจนเงินจำนวนมากถูกขโมยไป จำนวนเงินที่สูญไปคิดเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ความเสียหายนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชุมชน Ethereum และทำให้เกิดการอภิปรายเรื่องวิธีการแก้ไขปัญหานี้

กลุ่มหนึ่งในชุมชน Ethereum มองว่าการแฮ็กนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเสี่ยงที่ต้องยอมรับในระบบที่ปลอดภัยและเปิดเผย พวกเขาเชื่อว่าไม่ควรมีการแก้ไขเหตุการณ์ด้วยการแทรกแซงระบบ (“รหัสคือกฎหมาย”) ในทางกลับกัน อีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่าเพื่อความยุติธรรมและการคืนเงินให้กับผู้ที่เสียหาย จำเป็นต้องดำเนินการ Hard Fork เพื่อย้อนกลับธุรกรรมที่เกิดจากการแฮ็ก

สุดท้าย ชุมชน Ethereum ได้ตัดสินใจดำเนินการ Hard Fork ในกรกฎาคม 2016 โดยที่ Ethereum Classic คือเครือข่ายที่ยังคงเป็นต้นฉบับไม่มีการแก้ไขธุรกรรมใดๆ นับแต่นั้นมา Ethereum Classic ได้ดำเนินการอิสระจาก Ethereum และพัฒนาต่อไปโดยมีหลักการที่ยึดถือเรื่องการไม่แก้ไขประวัติธุรกรรมบนบล็อกเชนเป็นหลัก

ชุมชน Ethereum Classic มีคำประณามที่ชัดเจนต่อ Ethereum ในเรื่องการตัดสินใจดำเนินการ Hard Fork หลังจากเหตุการณ์แฮ็ก DAO ในปี 2016 พวกเขามองว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ละเมิดหลักการพื้นฐานของบล็อกเชน ซึ่งคือความโปร่งใสและความไม่สามารถแก้ไขได้ คำว่า “รหัสคือกฎหมาย” (Code is Law) เป็นหลักการที่ชุมชน Ethereum Classic ยึดถืออย่างมั่นคง พวกเขาเชื่อว่าการยอมรับรหัสโปรแกรมเป็นกฎหมายหมายความว่า “รหัสโปรแกรมที่เขียนไว้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาความโปร่งใสและความเป็นอิสระของเทคโนโลยีบล็อกเชน”

ความไม่เห็นด้วยนี้ได้แบ่งชุมชน Ethereum ออกเป็นสองส่วน โดย Ethereum Classic มุ่งหวังที่จะรักษาและปกป้องหลักการดั้งเดิมของ Ethereum ก่อนการ Hard Fork พวกเขาเห็นว่าการแทรกแซงเพื่อย้อนกลับธุรกรรมใดๆ เป็นการทำลายความเชื่อมั่นในระบบบล็อกเชนและสร้างความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงของข้อมูลที่บันทึกไว้ในบล็อกเชน

ดังนั้น การตัดสินใจดำเนินการ Hard Fork ของ Ethereum ถูกมองว่าเป็นการบ่อนทำลายหลักการเหล่านี้ และได้ส่งผลให้ชุมชน Ethereum Classic และ Ethereum มีการพัฒนาและก้าวไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Ethereum Classic ยังคงยึดมั่นในหลักการดั้งเดิมของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เน้นความโปร่งใสและการไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้

Infographic พื้นฐานของ Ethereum Classic (ETC)
อินโฟกราฟฟิกอธิบายพื้นฐาน Ethereum Classic

โครงสร้างและเทคโนโลยีของ Ethereum Classic

โครงสร้างของ Ethereum Classic (ETC) สร้างขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่คล้ายคลึงกับ Ethereum ก่อนที่จะมีการแยกตัว (Hard Fork) แต่มีความเป็นอิสระและพัฒนาไปตามทิศทางที่แตกต่างออกไป ต่อไปนี้คือรายละเอียดของโครงสร้างหลักในเครือข่าย Ethereum Classic:

  • บล็อกเชน (Blockchain): Ethereum Classic ใช้โครงสร้างข้อมูลเชิงบล็อกเชนที่เชื่อมโยงกันด้วยการคริปโตกราฟฟิค ซึ่งรวมข้อมูลธุรกรรมในช่วงเวลาที่กำหนด ทุกๆ บล็อกใหม่จะถูกเชื่อมต่อกับบล็อกที่มาก่อนหน้านี้ สร้างเป็นลำดับการบันทึกที่ต่อเนื่องและยากต่อการแก้ไขหลังจากที่บันทึกแล้ว
  • สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts): สัญญาอัจฉริยะเป็นสคริปต์ที่ดำเนินการอัตโนมัติบนเครือข่าย Ethereum Classic ทำให้สามารถดำเนินการธุรกรรมที่ซับซ้อนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง สัญยาอัจฉริยะเหล่านี้เขียนด้วยภาษา Solidity และสามารถใช้ในการสร้างแอปพลิเคชันที่กระจายอำนาจ (DApps)
  • การขุด (Mining): Ethereum Classic ยังคงใช้กลไกการทำธุรกรรมผ่าน Proof of Work (PoW) เช่นเดียวกับ Ethereum ในช่วงแรก นักขุดใช้พลังการคำนวณในการแก้โปรแกรมคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ นักขุดที่สำเร็จในการสร้างบล็อกใหม่จะได้รับรางวัลเป็น ETC
  • เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัย: เครือข่าย Ethereum Classic ใช้โปรโตคอลและอัลกอริธึมรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีและการปลอมแปลง ทั้งนี้ ระบบยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของเครือข่าย
  • การกำกับดูแลและการอัพเกรดเครือข่าย: แม้ว่า Ethereum Classic จะยึดถือหลัก “รหัสคือกฎหมาย” แต่ชุมชนก็มีการตัดสินใจร่วมกันเกี่ยวกับการอัพเกรดและการปรับปรุงเครือข่ายผ่านกระบวนการตัดสินใจแบบกระจายอำนาจ

โครงสร้างเหล่านี้ทำให้ Ethereum Classic เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการระบบที่มีความโปร่งใส ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และยังคงใช้การขุดแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาความปลอดภัยในเครือข่าย

การใช้งาน Ethereum Classic

thereum Classic (ETC) ถูกใช้งานในหลายด้านที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ใช้และนักพัฒนาในอุตสาหกรรมต่างๆ นี่คือบางส่วนของการใช้งานหลักของ Ethereum Classic:

  • การใช้งานสัญยาอัจฉริยะ (Smart Contracts): เช่นเดียวกับ Ethereum, Ethereum Classic รองรับการใช้งานสัญยาอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสัญญาที่มีเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น การเปิดใช้งานการชำระเงินเมื่อบรรลุเงื่อนไข, การบริหารจัดการทรัพย์สินดิจิทัล, หรือการสร้างแอพพลิเคชันที่กระจายอำนาจ (DApps)
  • การสร้างและใช้งาน DApps: แอพพลิเคชันที่กระจายอำนาจเป็นหนึ่งในการใช้งานหลักของ Ethereum Classic ซึ่งเหมาะสำหรับการสร้างแอพพลิเคชันในหลากหลายด้าน เช่น การเงิน, เกม, ระบบโลจิสติกส์, และสื่อสารมวลชน ทั้งนี้ DApps ทำงานบนเครือข่ายที่ไม่มีการควบคุมจากหน่วยงานใดๆ ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีและการจัดการจากศูนย์กลาง
  • การเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi): แม้ Ethereum Classic จะไม่มีตลาด DeFi ที่ใหญ่เท่า Ethereum แต่ก็มีการใช้งานในการสร้างโซลูชั่นการเงินแบบกระจายอำนาจบางรูปแบบ ที่ให้ผู้ใช้สามารถยืม ให้กู้ และทำธุรกรรมการเงินโดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
  • การจัดเก็บและการจัดการข้อมูลแบบกระจายอำนาจ: Ethereum Classic ยังถูกใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลที่สำคัญ เช่น ทะเบียนอสังหาริมทรัพย์, ข้อมูลทางการแพทย์, หรือแม้กระทั่งเอกสารสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาอย่างปลอดภัย
  • การใช้งานในโครงการระดับองค์กร: บางองค์กรเลือกใช้ Ethereum Classic เพื่อสร้างแอพพลิเคชันบล็อกเชนสำหรับการใช้งานภายในหรือเพื่อการพัฒนาโครงการที่ต้องการความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยสูง

การใช้งานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Ethereum Classic ไม่เพียงแต่เป็นระบบพื้นฐานสำหรับสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังรองรับการใช้งานที่หลากหลายและมีประโยชน์ในการสร้างโซลูชันเทคโนโลยีบล็อกเชนในหลายอุตสาหกรรม

โปรเจ็คต์และพาร์ทเนอร์ของ ETC

บน Ethereum Classic (ETC), มีโปรเจ็คต์จริงที่เป็นตัวอย่างของการใช้งานแพลตฟอร์มนี้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะไม่มีการใช้งานที่หลากหลายเท่า Ethereum แต่ Ethereum Classic ก็มีโปรเจ็คต์ที่น่าสนใจบางโปรเจ็คต์ ดังนี้:

  • Saturn Network
    • Saturn Network เป็นตลาดแบบกระจายอำนาจ (DEX) ที่เปิดตัวบน Ethereum Classic ตลาดนี้อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง หรือโบรกเกอร์ ซึ่งเสริมสร้างหลักการของความเป็นอิสระและการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล การทำงานของ Saturn Network นั้นเน้นการใช้สัญยาอัจฉริยะในการดำเนินการซื้อขายโดยอัตโนมัติ ทำให้เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้งาน DeFi บน Ethereum Classic
  • OriginalMy
    • OriginalMy เป็นโปรเจ็คต์ที่ใช้ Ethereum Classic ในการให้บริการยืนยันตัวตนและการลงนามอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้สัญยาอัจฉริยะ การใช้บล็อกเชนในการยืนยันเอกสารและการทำธุรกรรมทำให้กระบวนการนี้มีความปลอดภัยสูง และยากต่อการปลอมแปลง โปรเจ็คต์นี้แสดงให้เห็นว่า Ethereum Classic สามารถใช้ในการประยุกต์ใช้งานด้านกฎหมายและการรับรองความถูกต้องได้อย่างไร
  • Gitcoin
    • แม้ Gitcoin จะเป็นที่รู้จักดีในด้านการให้ทุนสนับสนุนแก่โปรเจ็คต์บน Ethereum, แต่ Gitcoin ก็มีการระดมทุนให้กับโปรเจ็คต์ที่สร้างบน Ethereum Classic เช่นกัน Gitcoin ช่วยให้โปรเจ็คต์บน Ethereum Classic สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและรับการสนับสนุนจากชุมชนได้
  • Portal Network
    • Portal Network เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาชื่อโดเมนบล็อกเชน (Blockchain Domain Names) ที่ใช้ Ethereum Classic เพื่อสร้างชื่อโดเมนที่ไม่เพียงแค่ชี้ไปยังที่อยู่บล็อกเชนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สามารถอ่านได้ง่ายขึ้น ช่วยให้การเข้าถึงและการโต้ตอบกับแอปพลิเคชันบล็อกเชนเป็นไปได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
  • Dexaran
    • Dexaran เป็นนักพัฒนาที่มีชื่อเสียงในชุมชน Ethereum Classic ซึ่งได้ริเริ่มโปรเจ็คต์หลายอย่างเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายและนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาในแพลตฟอร์ม รวมถึงการพัฒนามาตรฐานโทเคน ERC223, ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากมาตรฐาน ERC20 ของ Ethereum ที่มีความปลอดภัยมากขึ้นและลดการสูญเสียทรัพยากร
  • Commonwealth.gg
    • Commonwealth.gg เป็นแพลตฟอร์มเกมออนไลน์ที่ใช้ Ethereum Classic เป็นฐานในการดำเนินการธุรกรรม แพลตฟอร์มนี้ใช้สกุลเงินดิจิทัล ETC ในการซื้อขาย และการเดิมพันในเกมต่างๆ ทำให้เกมเมอร์สามารถมีส่วนร่วมและได้รับรางวัลจากการเล่นเกม
  • ETC Cooperative
    • ETC Cooperative เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนา Ethereum Classic องค์กรนี้รวบรวมทรัพยากรและให้การสนับสนุนแก่นักพัฒนาที่ต้องการสร้างโปรเจ็คต์บนเครือข่าย ETC โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มการใช้งานและความมั่นคงของเครือข่าย
  • PeaceBridge
    • PeaceBridge เป็นโปรเจ็คต์ที่พัฒนาเพื่อเชื่อมต่อ Ethereum Classic กับ Ethereum โดยใช้เทคโนโลยีสะพานบล็อกเชนเพื่อให้การโอนย้ายสินทรัพย์ระหว่างบล็อกเชนทั้งสองเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงและการใช้งานร่วมกันระหว่างเครือข่าย

เปรียบเทียบ Ethereum Classic กับ Ethereum

Ethereum Classic (ETC) และ Ethereum (ETH) มีจุดเริ่มต้นมาจากเครือข่ายเดียวกัน แต่ได้แยกทางกันหลังจากเหตุการณ์การแฮ็ก DAO ในปี 2016 นี่คือการเปรียบเทียบหลักๆ ระหว่าง Ethereum Classic กับ Ethereum:

  • ปรัชญาและหลักการพื้นฐาน
    • Ethereum Classic (ETC): ยึดมั่นในปรัชญา “Code is Law” หมายความว่าเมื่อสัญยาอัจฉริยะได้รับการปรับใช้และดำเนินการบนบล็อกเชนแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพื่อย้อนกลับธุรกรรม แม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดหรือการโจมตีก็ตาม ความเชื่อนี้เป็นสาเหตุหลักของการแยกตัวจาก Ethereum หลังจากการโจมตี DAO.
    • Ethereum (ETH): หลังจากเหตุการณ์ DAO มีการดำเนินการ Hard Fork เพื่อย้อนกลับธุรกรรมที่ถูกขโมย ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อที่ว่าความยุติธรรมและความปลอดภัยของผู้ใช้สำคัญกว่าหลักการ “Code is Law”.
  • การพัฒนาเทคโนโลยี
    • Ethereum Classic: ยังคงใช้กลไกการทำธุรกรรม Proof of Work (PoW) ไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนไปใช้ Proof of Stake (PoS) และยังคงพัฒนาอย่างอิสระ โดยมุ่งเน้นที่ความมั่นคงและการไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงของบล็อกเชน.
    • Ethereum: ได้พัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เช่นการเปลี่ยนไปใช้กลไกการทำธุรกรรม Proof of Stake (PoS) ใน Ethereum 2.0 ซึ่งมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ ความเร็ว และความยั่งยืนของเครือข่าย.
  • ชุมชนและการสนับสนุน
    • Ethereum Classic: มีชุมชนที่เล็กกว่าและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ที่เชื่อมั่นในหลักการดั้งเดิมของ Ethereum ก่อนการแยกตัว.
    • Ethereum: มีชุมชนที่ใหญ่และกว้างขวางทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ รวมถึงการสนับสนุนจากบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน ทำให้ Ethereum เป็นหนึ่งในเครือข่ายบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง.
  • การใช้งานและการประยุกต์ใช้
    • Ethereum Classic: ยังคงถูกใช้งานในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนา DApps และสัญยาอัจฉริยะ แต่มีการใช้งานที่จำกัดเมื่อเทียบกับ Ethereum.
    • Ethereum: เป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการพัฒนา DeFi, NFTs, และ DApps ที่มีการใช้งานและนวัตกรรมอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมต่างๆ.

การเลือกใช้งานระหว่าง Ethereum Classic และ Ethereum ขึ้นอยู่กับความต้องการและหลักการที่ผู้ใช้และนักพัฒนาให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอิสระ ความน่าเชื่อถือ หรือการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ

เปรียบเทียบระว่าง Ethereum Classic (ETC) กับ Ethereum (ETH)
อินโฟกราฟฟิกเปรียบเทียบระหว่าง ETC กับ ETH

สรุป

โดยสรุปแล้ว Ethereum Classic (ETC) เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่สนับสนุนสัญญาอัจฉริยะและเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เกิดจากการแยกตัวจาก Ethereum (ETH) หลังจากเหตุการณ์การแฮ็ก DAO ในปี 2016 ซึ่งเป็นการโจมตีที่ส่งผลให้มีการสูญเสียเงินจำนวนมากและนำไปสู่การตัดสินใจดำเนินการ Hard Fork เพื่อย้อนกลับธุรกรรมที่เกิดขึ้น

Ethereum Classic ยึดมั่นในหลักการ “Code is Law” ซึ่งหมายความว่าสัญยาอัจฉริยะที่เปิดใช้งานแล้วควรดำเนินต่อไปตามที่โค้ดนั้นกำหนดไว้ โดยไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ หลักการนี้สะท้อนถึงความต้องการคงไว้ซึ่งความโปร่งใสและการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงของบล็อกเชน

Ethereum Classic ใช้กลไก Proof of Work (PoW) ในการยืนยันธุรกรรมและการขุด ซึ่งยังคงเป็นแกนนำในการดำเนินการและการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย แม้จะมีการโจมตีแบบ 51% เกิดขึ้นหลายครั้ง ชุมชนก็ยังคงพยายามปรับปรุงและเสริมสร้างเครือข่ายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

Ethereum Classic ไม่เพียงแต่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่กระจายอำนาจและสัญยาอัจฉริยะที่ต้องการความปลอดภัยสูงและการยืนยันที่ไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้งานในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในหลายอุตสาหกรรมและการริเริ่มโปรเจ็คต์ที่ช่วยขยายความสามารถและการใช้งานของเครือข่าย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ethereum Classic( FAQs)

  1. Ethereum Classic คืออะไร?
    • Ethereum Classic (ETC) เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่สนับสนุนสมาร์ทคอนแทร็คต์และเป็นเวอร์ชันแยกตัวของ Ethereum ที่เกิดจากการแยกตัวหลังจากเหตุการณ์การแฮ็ก DAO ในปี 2016 โดยยึดหลักการว่า “รหัสคือกฎหมาย” (Code is Law).
  2. Ethereum Classic และ Ethereum ต่างกันอย่างไร?
    • หลักการสำคัญที่แยก Ethereum Classic ออกจาก Ethereum คือ Ethereum Classic ไม่เห็นด้วยกับการทำ Hard Fork เพื่อย้อนกลับธุรกรรมหลังจากการแฮ็ก DAO และยังคงใช้กลไกการยืนยันธุรกรรมแบบ Proof of Work (PoW) ในขณะที่ Ethereum ได้พัฒนาไปใช้ Proof of Stake (PoS) ในเวอร์ชัน 2.0
  3. ฉันสามารถซื้อ Ethereum Classic ได้ที่ไหน?
    • Ethereum Classic สามารถซื้อได้จากแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลหลายแห่ง เช่น Coinbase, Binance, และ Kraken คุณควรตรวจสอบและเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและความปลอดภัยของแต่ละแพลตฟอร์มก่อนทำการซื้อ
  4. การขุด Ethereum Classic ต้องใช้อุปกรณ์อะไร?
    • การขุด Ethereum Classic ทำได้โดยใช้ GPU (Graphics Processing Unit) หรือ ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการขุดสกุลเงินดิจิทัล การเลือกอุปกรณ์ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการของผู้ขุด
  5. Ethereum Classic มีความปลอดภัยหรือไม่?
    • Ethereum Classic เคยประสบปัญหาด้านความปลอดภัย เช่น การโจมตีแบบ 51% แต่ชุมชนของ Ethereum Classic ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเสริมสร้างเครือข่าย นอกจากนี้ยังควรติดตามและปรับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลของคุณ

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ bitblockthai