Ethereum (ETH) คืออะไร? มาทำความรู้จักพื้นฐานอิเธอเรียมกัน

ในโลกของสกุลเงินดิจิทัลที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง “อีเธอเรียม (Ethereum)” (เว็บไซต์ทางการของ Ethereum) ปรากฏเป็นดวงดาวที่ส่องแสงไสว เป็นมากกว่าแค่สกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียมคือแพลตฟอร์มที่เปิดประตูสู่การปฏิวัติการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

Ethereum (ETH) หรืออิเธอเรียม คืออะไร? กับการปฏิวัติโลกของ Smart Contracts และ DApps มากกว่าเพียงแค่สกุลเงินดิจิทัล

อีเธอเรียมไม่เพียงแต่เป็นชื่อที่คุ้นหูในวงการสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่นำเสนอการใช้งานบล็อกเชน อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าเดิม ที่สำคัญอิเธอเรียมได้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่ไม่สามารถทำได้ด้วยบิทคอยน์หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ

ก่อนอื่นมารู้จักประวัติกันคร่าวๆ ก่อนครับ

ประวัติของอิเธอเรียม

อิเธอเรียมถูกคิดค้นขึ้นโดย Vitalik Buterin ในปี 2013 เมื่อเขายังเป็นนักเขียนและโปรแกรมเมอร์ที่มีความสนใจอย่างมากในเทคโนโลยีบล็อกเชน ในขณะนั้น Buterin ได้รู้สึกว่าบิทคอยน์มีข้อจำกัดเนื่องจากไม่สามารถทำงานนอกเหนือจากการเป็นสกุลเงินดิจิทัล จึงเกิดความคิดที่จะสร้างแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่สามารถรองรับแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจและสัญญาอัจฉริยะได้

อิเธอเรียมเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบล็อกเชนที่อนุญาตให้ผู้ใช้สร้างและดำเนินการสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) และแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (DApps) โดยไม่ต้องพึ่งพาความไว้วางใจหรือตัวกลางทางการเงิน ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ ได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส

วิสัยทัศน์ของ Ethereum คือการสร้างแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบเปิดที่เป็นมากกว่าเพียงแค่เทคโนโลยีสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน เป้าหมายคือการเปิดโอกาสให้มีการสร้างแอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่ไม่สามารถทำได้บนแพลตฟอร์มอื่นๆ และการทำให้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

อิเธอเรียมถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าเพียงแค่สกุลเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ โดยมันเป็นระบบนิเวศที่ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนและการใช้งานสัญญาอัจฉริยะที่มีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้อิเธอเรียมยังใช้เหรียญที่เรียกว่า “Ether” (ETH) เป็นหน่วยเงินภายในเครือข่ายสำหรับการทำธุรกรรมและการชำระค่าใช้จ่าย

ความสามารถของอิเธอเรียมที่ทำให้มันเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นคือ การสนับสนุนการสร้างสัญญาอัจฉริยะที่สามารถดำเนินการได้อย่างอัตโนมัติ, ปลอดภัย, และโปร่งใส ซึ่งเปิดโอกาสให้กับการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการเงิน, สุขภาพ, อสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ อีกมากมาย

อิเธอเรียมอินโฟรกราฟฟิก ethereum infographic thai
อินโฟรกราฟฟิกอธิบายพื้นฐานของอิเธอเรียม

ต่อไปเป็นหลักการทำงานบนเครือข่ายอิเธอเรียมที่ผมจะเรียบเรียงมาให้เข้าใจง่ายที่สุด เนื่องจากอิเธอเรียมเป็นมากกว่าเงินดิจิทัล แต่จะเป็นทั้ง Platform และ Ecosystem หลักการเลยเยอะกว่าบิทคอยน์ครับ

หลักการทำงานของเครือข่ายอิเธอเรียม

อิเธอเรียมทำงานบนพื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนเช่นเดียวกับ Bitcoin แต่มีคุณสมบัติพิเศษที่เรียกว่า “สัญญาอัจฉริยะ” (Smart Contracts) สัญญาอัจฉริยะเป็นโค้ดโปรแกรมที่เมื่อเงื่อนไขตามสัญญาเป็นจริง จะทำการดำเนินการโดยอัตโนมัติบนบล็อกเชนโดยไม่ต้องการการยืนยันหรือการแทรกแซงจากบุคคลที่สาม นอกจากนี้อิเธอเรียมยังเป็นบ้านให้กับ “แอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ” (DApps) ซึ่งสามารถสร้างและใช้งานได้บนแพลตฟอร์มอิเธอเรียมทำให้มันมีความยืดหยุ่นและศักยภาพในการใช้งานที่กว้างขวาง

  1. บล็อกเชน (Blockchain): อิเธอเรียมใช้หลักการของบล็อกเชน ซึ่งเป็นสมุดบันทึกดิจิทัลที่บันทึกทุกการทำธุรกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงภายในเครือข่าย ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บรักษาในบล็อกต่างๆ และเชื่อมโยงกันด้วยลำดับเวลา ทำให้มีความโปร่งใสและยากต่อการปรับเปลี่ยนหรือการปลอมแปลง
  2. สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts): คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อดำเนินการอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ถูกตอบสนอง สัญญาอัจฉริยะบนอิเธอเรียมช่วยให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการทางการเงินหรือข้อตกลงต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง
  3. Ethereum Virtual Machine (EVM): เป็นสภาพแวดล้อมที่สัญญาอัจฉริยะของอิเธอเรียมถูกดำเนินการและประมวลผล ทำให้อิเธอเรียมสามารถประมวลผลสัญญาอัจฉริยะและแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะภาษาโปรแกรมหรือแพลตฟอร์มใดๆ
  4. Ether (ETH): เป็นสกุลเงินดิจิทัลหรือ “เชื้อเพลิงหรือแก๊ส” ของเครือข่ายอิเธอเรียมที่ใช้สำหรับการชำระค่าธุรกรรมและการใช้งานบริการต่างๆ บนเครือข่าย เช่น การดำเนินการสัญญาอัจฉริยะ หรือการเรียกใช้แอปพลิเคชัน
  5. การขุด (Mining) และ Proof of Work (PoW): ในช่วงแรกของอิเธอเรียมการขุดถูกใช้เพื่อประมวลผลและยืนยันธุรกรรมโดยใช้หลักการ Proof of Work แต่อิเธอเรียมมีแผนที่จะเปลี่ยนไปใช้ระบบ Proof of Stake (PoS) ใน Ethereum 2.0 เพื่อประสิทธิภาพและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
  6. Proof of Stake (PoS) และ Ethereum 2.0: การเปลี่ยนแปลงหลักของอิเธอเรียม 2.0 คือการเปลี่ยนจากการขุดด้วยระบบ Proof of Work ไปเป็นระบบ Proof of Stake ซึ่งจะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือเหรียญโดยการ “เดิมพัน” หรือล็อคเหรียญของพวกเขาเพื่อรับสิทธิ์ในการยืนยันธุรกรรมและรับรางวัลเป็นเหรียญเพิ่มเติม

ทำความรู้จักกับ Ether (ETH), Smart Contracts และ DApps

ในโลกของอิเธอเรียมคำว่า “Ether (ETH)”, “สัญญาอัจฉริยะ” (Smart Contracts) และ “แอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ” (DApps) เป็นสองคำที่มักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้อิเธอเรียมแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชน

Ether (ETH)

Ether (ETH) เป็นเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ของอิเธอเรียมและทำหน้าที่เป็น “น้ำมัน” ที่ขับเคลื่อนการทำงานของเครือข่าย Ethereum รวมถึงการดำเนินการสัญญาอัจฉริยะและการทำธุรกรรมต่างๆ ในระบบ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหรือ “Gas fees” ในเครือข่ายอิเธอเรียมจะถูกจ่ายด้วย ETH ซึ่งช่วยให้เครือข่ายสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การใช้งานหลักของ Ether ในระบบอิเธอเรียมคือการจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและค่า Gas สำหรับการดำเนินการสัญญาอัจฉริยะ นอกจากนี้ Ether ยังเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถซื้อขายและลงทุนได้เช่นเดียวกับเหรียญคริปโตเคอเรนซี่อื่นๆ ผู้คนมากมายใช้ Ether เพื่อการลงทุน การเก็งกำไร หรือใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในโลกดิจิทัล การเติบโตและการยอมรับของเครือข่ายทำให้ความต้องการและมูลค่าของ Ether สูงขึ้นตามไปด้วย

สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts)

สัญญาอัจฉริยะคือโค้ดโปรแกรมที่ทำงานอัตโนมัติบนแพลตฟอร์มบล็อกเชน เมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในโค้ดนั้นเป็นจริง สัญญาอัจฉริยะสามารถดำเนินการธุรกรรมและจัดการข้อตกลงระหว่างผู้ใช้โดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากบุคคลที่สาม ซึ่งหมายความว่า สามารถลดความซับซ้อน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมได้

ตัวอย่างการใช้งานสัญญาอัจฉริยะ:

  • สัญญาประกันภัย: สัญญาอัจฉริยะสามารถใช้เพื่อออกกรมธรรม์ประกันภัยที่จ่ายเงินชดเชยอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กำหนด เช่น การเป็นกรมธรรม์ประกันการเดินทางที่จ่ายเงินชดเชยหากเที่ยวบินล่าช้า
  • การเลือกตั้งและการโหวต: ใช้สำหรับการจัดการการเลือกตั้งหรือการโหวตที่ต้องการความโปร่งใสและความเป็นธรรม โดยผลลัพธ์จะถูกบันทึกโดยอัตโนมัติบนบล็อกเชน

แอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (dApps)

dApps คือแอปพลิเคชันที่ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ ไม่มีจุดศูนย์กลางควบคุม ทำให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง dApps สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายตั้งแต่เกม, ตลาดการเงิน, โซเชียลเน็ตเวิร์ก, DeFi และอื่นๆ

ตัวอย่างการใช้งาน dApps:

  • CryptoKitties: เกมที่ผู้เล่นสามารถซื้อ ขาย และเพาะพันธุ์แมวเสมือนในรูปแบบของสัญญาอัจฉริยะ
  • Decentraland: เป็นโลกเสมือนจริงบน blockchain ที่ผู้ใช้สามารถซื้อที่ดินเสมือนจริง, สร้าง, และซื้อขายสินค้าและบริการภายในโลกนี้
  • Uniswap: แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลแบบกระจายอำนาจที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดการแลกเปลี่ยนแบบมีจุดศูนย์กลาง
  • MakerDAO: แพลตฟอร์มที่ใช้ปล่อยเงินกู้ในรูปของ stablecoin (DAI) ที่ผูกมัดกับมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ผู้ใช้สามารถใช้เหรียญคริปโตเคอเรนซี่อื่นๆ เป็นหลักประกันเพื่อกู้เงิน
  • Aave: แพลตฟอร์ม DeFi ที่ให้บริการเงินกู้และการยืมเงินแบบ peer-to-peer พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ผู้ใช้สามารถเป็นทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้ รับและจ่ายดอกเบี้ยในรูปแบบของเหรียญคริปโต
  • Compound: เป็นโปรโตคอลตลาดเงินที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถให้เงินกู้หรือยืมเหรียญคริปโตโดยอัตโนมัติ มีระบบการคำนวณอัตราดอกเบี้ยแบบไดนามิกที่ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน

การพัฒนาของ Smart Contracts และ dApps บนอิเธอเรียมเป็นการปฏิวัติวิธีที่เราสร้างและใช้งานแอปพลิเคชันในโลกดิจิทัล ทำให้มีความปลอดภัย โปร่งใส และไม่สามารถควบคุมหรือเซ็นเซอร์ได้ นี่คือเหตุผลที่อิเธอเรียมไม่เพียงแค่เป็นสกุลเงินดิจิทัล แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ที่ไม่มีขีดจำกัด

dApps คืออะไร? บทความนี้จะเจาะลึกถึง dApps เพื่อนๆ จะได้เข้าใจมากขึ้นครับ

รู้จักกับ ETH ERC

ETH ERC หมายถึงมาตรฐานของโทเค็นที่ใช้บนเครือข่าย Ethereum (ETH) โดย ERC ย่อมาจาก “Ethereum Request for Comments” ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าโทเค็นหรือสัญญาอัจฉริยะต่างๆ ที่สร้างขึ้นบนเครือข่ายอิเธอเรียมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น มีหลายมาตรฐาน ERC ที่ถูกพัฒนาขึ้น เช่น ERC-20, ERC-721, และ ERC-1155 ซึ่งแต่ละมาตรฐานมีลักษณะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน

  • ERC-20: เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการสร้างโทเค็นที่สามารถแลกเปลี่ยนได้บน Ethereum เหมาะสำหรับโทเค็นที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทั้งหมดและสามารถแลกเปลี่ยนกันได้อย่างเท่าเทียม
  • ERC-721: เป็นมาตรฐานสำหรับโทเค็นที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้หรือ NFTs (Non-Fungible Tokens) ซึ่งแต่ละโทเค็นมีคุณลักษณะเฉพาะตัวและไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้เหมือน ERC-20 NFTs สามารถใช้เพื่อแทนสิทธิ์ในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ซ้ำใคร เช่น ศิลปะดิจิทัล สะสมไอเท็มในเกม หรือสัญญาอัจฉริยะอื่นๆ
  • ERC-1155: เป็นมาตรฐานที่ใหม่กว่าซึ่งออกแบบมาเพื่อให้สามารถรวมทั้งโทเค็นที่สามารถแลกเปลี่ยนได้และไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ภายในสัญญาอัจฉริยะเดียว ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในการสร้างและจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล

มาตรฐาน ERC มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาและการใช้งานของโทเค็นและสินทรัพย์ดิจิทัลบนเครือข่ายอิเธอเรียมโดยให้กรอบการทำงานและความสอดคล้องกันระหว่างโปรเจกต์ต่างๆ

อินโฟกราฟฟิกหลักการทำงานของอิเธอเรียม how ethereum work infographic thai
อินโฟรอธิบายพื้นฐานหลักการทำงานของอิเธอเรียม

ความแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ

ต่างจากบิทคอยน์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสกุลเงินดิจิทัลอิเธอเรียมได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจและสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งทำให้อิเธอเรียมไม่เพียงแต่มีความสามารถในการทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ยังสามารถสร้างและจัดการข้อมูล สินทรัพย์ดิจิทัล และแม้กระทั่งการดำเนินงานทางธุรกิจโดยอัตโนมัติและปลอดภัย

อิเธอเรียมเปิดประตูสู่การนำเสนอโซลูชันที่ไม่จำกัดเฉพาะการเงิน แต่ยังรวมถึงการปฏิวัติวิธีที่เราสร้างและใช้แอปพลิเคชันในโลกดิจิทัล ด้วยความสามารถในการนำเสนอศักยภาพที่ไม่จำกัดและการเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างสำหรับนวัตกรรม อิเธอเรียมจึงไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่สำคัญ แต่ยังเป็นหนึ่งในโครงการบล็อกเชนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก

อิเธอเรียมกับการลงทุน

การลงทุนในอิเธอเรียมหรือสกุลเงินดิจิทัลใดๆ มีความเสี่ยงแต่ก็มีโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูง ก่อนที่คุณจะตัดสินใจลงทุนในอิเธอเรียมมีหลายประเด็นที่คุณควรพิจารณาอย่างละเอียด

ประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนการลงทุนในอิเธอเรียม

  1. ความเข้าใจในเทคโนโลยี: ควรมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและอิเธอเรียมรวมถึงการทำงานของสัญญาอัจฉริยะและ DApps เพื่อประเมินศักยภาพและความเสี่ยงได้ถูกต้อง
  2. ความผันผวนของราคา: อิเธอเรียมเช่นเดียวกับสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ มีความผันผวนสูง ควรพิจารณาถึงความสามารถในการรับมือกับความผันผวนของราคาก่อนการลงทุน
  3. การวิจัยและการติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสารและการพัฒนาล่าสุดเกี่ยวกับอิเธอเรียมเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจมีผลต่อราคาและการยอมรับในระยะยาว
  4. กฎหมายและข้อบังคับ: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับในประเทศของคุณที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล

คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน

  1. การกระจายความเสี่ยง: หลีกเลี่ยงการลงทุนทั้งหมดในอิเธอเรียมหรือสกุลเงินดิจิทัลเดียว การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
  2. การลงทุนระยะยาว: ใจเย็นและมีมุมมองการลงทุนระยะยาว เนื่องจากความผันผวนระยะสั้นอาจไม่สะท้อนถึงศักยภาพระยะยาวของอิเธอเรียม
  3. การตั้งค่าจุดหยุดการขาดทุน: กำหนดจุดหยุดการขาดทุน (stop-loss) เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว
  4. การศึกษาอย่างต่อเนื่อง: การลงทุนในอิเธอเรียมเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องการการศึกษาและการอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

การลงทุนในอิเธอเรียมนั้นมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นการเตรียมตัวอย่างดีและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีสติจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการลงทุนในโลกของอิเธอเรียมและสกุลเงินดิจิทัล

อนาคตของอิเธอเรียมและความเป็นไปได้

อิเธอเรียมได้กลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่มีการพูดถึงมากที่สุดในโลกของเทคโนโลยีและการเงินดิจิทัล เนื่องจากมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกรรมและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งนี้อิเธอเรียม 2.0 และโอกาสที่เกิดขึ้นจากการพัฒนานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางและความเป็นไปได้ของอิเธอเรียมในอนาคต

การพัฒนา Ethereum 2.0 และผลกระทบต่อตลาด

Ethereum 2.0 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Serenity” เป็นการอัปเกรดที่สำคัญของเครือข่ายอิเธอเรียมโดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการขยายขนาด เปลี่ยนจากกลไกการยืนยันการทำธุรกรรมจาก Proof of Work (PoW) เป็น Proof of Stake (PoS) ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม การเปลี่ยนแปลงนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดสกุลเงินดิจิทัลโดยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความน่าสนใจของอิเธอเรียมเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนและผู้พัฒนา

ทิศทางและโอกาสใหม่ๆ ที่อิเธอเรียมอาจนำมาสู่โลกการเงินและเทคโนโลยี

การอัปเกรดเป็นอิเธอเรียม 2.0 เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ในโลกการเงินและเทคโนโลยี เช่น:

  1. DeFi (การเงินแบบกระจายอำนาจ): อิเธอเรียมเป็นฐานสำหรับการพัฒนา DeFi ซึ่งเป็นการเงินที่ไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและคาดว่าจะยังคงขยายตัว
  2. NFTs (Non-Fungible Tokens): อิเธอเรียมยังเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการสร้างและการซื้อขาย NFTs ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่ศิลปิน นักสะสม และสายบันเทิง
  3. การปรับปรุงและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมต่างๆ: ด้วยความสามารถของสัญญาอัจฉริยะและ DApps ที่เพิ่มขึ้น อิเธอเรียมสามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการทำงานและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การดูแลสุขภาพ และการศึกษา

Ethereum 2.0 และการพัฒนาต่อไปนี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความสามารถของอิเธอเรียม แต่ยังช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกดิจิทัลและการเงิน ทำให้อิเธอเรียมยังคงเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอิเธอเรียมที่น่าติดตามและมีศักยภาพสูงสุดในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของเรา

การอัพเกรดเครือข่าย Ethereum

  • Frontier (กรกฎาคม 2015) – เปิดตัว Ethereum เวอร์ชั่นแรก มุ่งเน้นที่นักพัฒนาในการทดลองสร้างแอพพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (DApps).
  • Homestead (มีนาคม 2016) – การอัพเกรดครั้งแรกของ Ethereum ทำให้เครือข่ายมีความเสถียรมากขึ้น และเพิ่มคุณลักษณะใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการใช้งานโดยรวม
  • DAO Hard Fork (กรกฎาคม 2016) – หลังจากเหตุการณ์ DAO ที่มีการขโมยเงินออกไป ชุมชน Ethereum ตัดสินใจทำฮาร์ดฟอร์กเพื่อคืนเงินให้กับผู้ถือ DAO ส่งผลให้เกิด Ethereum (ETH) และ Ethereum Classic (ETC).
  • Byzantium (ตุลาคม 2017) – ส่วนหนึ่งของการอัพเกรดใหญ่ Metropolis ที่มุ่งเน้นที่ความเป็นส่วนตัว, ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ
  • Constantinople (กุมภาพันธ์ 2019) – ต่อยอดจาก Byzantium เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายและลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม
  • Istanbul (ธันวาคม 2019) – อัพเกรดเพื่อเพิ่มความเข้ากันได้ข้ามเครือข่าย และปรับปรุงการป้องกันการโจมตี
  • Muir Glacier (มกราคม 2020) – การอัพเกรดเล็กๆ เพื่อเลื่อนความยากในการขุด (difficulty bomb)
  • Berlin (เมษายน 2021) – เน้นการปรับปรุงค่าธรรมเนียมและการปรับแต่งความปลอดภัยของเครือข่าย
  • London (สิงหาคม 2021) – นำเสนอ EIP-1559 ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum อย่างใหญ่หลวง
  • The Merge (กันยายน 2022) – การอัพเกรดที่ใหญ่ที่สุดของ Ethereum ที่เปลี่ยนจากระบบ Proof of Work (PoW) เป็น Proof of Stake (PoS) ทำให้เครือข่ายมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้นและลดการใช้พลังงานลงอย่างมาก
  • Shanghai-Capella Upgrade (2023) – อัพเกรดที่อนุญาตให้ผู้ถือกระเป๋าเงิน staking ของ Ethereum ถอนเหรียญของตนได้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่รอคอยมานานหลังจากการเปลี่ยนไปใช้ Proof of Stake
  • Dencun Upgrage (มีนาคม 2024) – เป็นการอัพเกรดเพื่อกระตุ้นการเติบโตบนเครือข่ายเลเยอร์ 2 ที่เรียกว่า Arbitrum และ Polygon โดยการลดค่าธรรมเนียมข้อมูล

สรุป

อิเธอเรียมเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างและดำเนินการสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) และแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (DApps) ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง แพลตฟอร์มนี้ใช้เหรียญที่เรียกว่า Ether (ETH) เป็นสกุลเงินภายในเครือข่ายสำหรับการทำธุรกรรมและการจ่ายค่าธรรมเนียมการดำเนินการ ด้วยความสามารถในการรองรับสัญญาอัจฉริยะและการพัฒนาแอปพลิเคชัน อิเธอเรียมได้เปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ๆ มากมายในด้านการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi), การประกัน, ระบบการโหวต, และอื่นๆ อีกมากมาย การเปลี่ยนแปลงจากระบบ Proof of Work (PoW) ไปเป็น Proof of Stake (PoS) ในอิเธอเรียม 2.0 นั้นคาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานของเครือข่าย ทำให้ Ethereum ไม่เพียงแต่เป็นแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้ แต่ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ethereum (FAQs)

การทำความเข้าใจ Ethereum อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับบางคน เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ethereum นี่คือคำถามที่พบบ่อยและคำตอบที่จะช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้

  1. Ethereum คืออะไร?
    • Ethereum เป็นแพลตฟอร์ม blockchain ที่ช่วยให้สามารถสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) และแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (DApps) ได้ ไม่เพียงแต่ใช้เป็นสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น
  2. Ethereum และ Bitcoin ต่างกันอย่างไร?
    • ความแตกต่างหลักคือ Bitcoin ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสกุลเงินดิจิทัล ในขณะที่ Ethereum ไม่เพียงเป็นสกุลเงินดิจิทัล แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสร้างสัญญาอัจฉริยะและแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ
  3. สัญญาอัจฉริยะคืออะไร?
    • สัญญาอัจฉริยะเป็นโค้ดโปรแกรมที่ทำงานอัตโนมัติบน blockchain เมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ถูกต้อง สามารถใช้ในการดำเนินการธุรกรรมหรือจัดการข้อตกลงโดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากบุคคลที่สาม
  4. ฉันสามารถใช้ Ethereum ในการซื้ออะไรได้บ้าง?
    • นอกจากการซื้อขายเป็นสกุลเงินดิจิทัลแล้ว Ethereum ยังสามารถใช้ในการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ค้าที่รองรับการชำระเงินด้วย Ethereum รวมถึงการซื้อ NFTs และการเข้าร่วมในโครงการ DeFi
  5. การลงทุนใน Ethereum มีความเสี่ยงหรือไม่?
    • เช่นเดียวกับการลงทุนทุกประเภท การลงทุนใน Ethereum มีความเสี่ยง รวมถึงความผันผวนของราคา ควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงก่อนการลงทุน
  6. Ethereum 2.0 คืออะไร?
    • Ethereum 2.0 เป็นการอัพเกรดของเครือข่าย Ethereum ที่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการขยายขนาด โดยเปลี่ยนจากกลไกการยืนยันการทำธุรกรรมจาก Proof of Work (PoW) เป็น Proof of Stake (PoS)
  7. ฉันสามารถสร้าง DApps บน Ethereum ได้อย่างไร?
    • เพื่อสร้าง DApps บน Ethereum คุณจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเขียนโค้ด Solidity (ภาษาโปรแกรมของ Ethereum) และเข้าใจหลักการของการทำงานของ smart contracts และ blockchain

คำถามเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการสำรวจโลกของ Ethereum ด้วยการศึกษาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คุณจะสามารถเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Ethereum ได้อย่างเต็มที่

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ bitblockthai