Chainlink (LINK) คืออะไร?

รู้จักกับ Chainlink โดยโปรเจกต์นี้ไม่เพียงแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโลกจริงกับโลกดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูสู่การนำเสนอบริการทางการเงินและการทำธุรกรรมที่มีความปลอดภัย, โปร่งใส, และไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง ในขณะที่อุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี่ยังคงเติบโตและพัฒนา Chainlink ยืนหยัดเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีส่วนร่วมอย่างมากในการกำหนดอนาคตของเทคโนโลยีบล็อกเชนและการเงินแบบกระจายอำนาจ

Chainlink (LINK) คืออะไร?

Chainlink เป็นสะพานที่เชื่อมโลกความเป็นจริงกับโลกดิจิทัลหรือเป็นเครือข่ายเรียกว่า “ออราเคิล (Oracle)” ที่กระจายอำนาจ ทำหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนกับข้อมูลภายนอกโลก ช่วยให้สัญญาอัจฉริยะสามารถดำเนินการตามข้อมูลจริงได้ Chainlink มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของโลกการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) โดยให้ข้อมูลราคาที่เชื่อถือได้และข้อมูลสำคัญอื่นๆ

Oracles มีบทบาทสำคัญในการสร้างเว็บที่ตรวจสอบได้ การเชื่อมต่อบล็อกเชนที่อาจแยกออกจากข้อมูลและการประมวลผลนอกเชน และเปิดใช้งานการทำงานร่วมกันระหว่างบล็อกเชน ในตอนแรก เครือข่าย Oracle ของ Chainlink ช่วยให้สามารถสร้างพื้นที่ DeFi ได้ จากนั้นจึงขยายจนกลายเป็นโซลูชัน Oracle มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับ Web3 ทั้งหมด จนถึงวันนี้ Chainlink ได้เปิดใช้งานมูลค่าธุรกรรมมากกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะนี้ Chainlink กำลังร่วมมือกับสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายแห่ง รวมถึง Swift เครือข่ายการส่งข้อความระดับโลกสำหรับธนาคารกว่า 11,000 แห่ง, DTCC ซึ่งเป็นระบบการชำระราคาหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ประมวลผลมูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี

ประวัติความเป็นมาของ Chainlink

Chainlink ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดย Sergey Nazarov และ Steve Ellis ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะนำการทำงานของสัญญาอัจฉริยะไปสู่ระดับถัดไป โดยการให้บริการ Oracles ที่เชื่อถือได้และมีความปลอดภัย เพื่อทำให้สัญญาอัจฉริยะสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ในโลกจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแต่นั้น Chainlink ได้พัฒนาและขยายการให้บริการออราเคิลเน็ตเวิร์กของตัวเอง ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ยอดนิยมและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม

การเติบโตของ Chainlink ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของตลาดสำหรับการเชื่อมโยงข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ากับสัญญาอัจฉริยะเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความไว้วางใจและความปลอดภัยในการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชน. ด้วยเครือข่ายออราเคิลที่กระจายอำนาจและได้รับการสนับสนุนจากหลายโนด ทำให้ Chainlink สามารถให้บริการข้อมูลที่มีความถูกต้องสูงและรวดเร็วให้กับสัญญาอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นราคาตลาดของสินค้าต่างๆ, ผลลัพธ์ของเหตุการณ์กีฬา, หรือแม้กระทั่งข้อมูลอากาศ ทำให้ Chainlink กลายเป็นหนึ่งในผู้นำในการให้บริการออราเคิลที่มีความเชื่อถือได้และเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนในโลกจริง

การที่ Chainlink เติบโตและขยายการให้บริการของตัวเองอย่างต่อเนื่องทำให้มันไม่เพียงแต่ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและโปรเจกต์ต่างๆ ในอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนจากองค์กรใหญ่ๆ และการร่วมมือกับโปรเจกต์อื่นๆ เพื่อขยายความเป็นไปได้และการใช้งานของสัญญาอัจฉริยะไปอีกขั้น ในขณะเดียวกัน การรับรองและการใช้งาน Chainlink ยังช่วยส่งเสริมมาตรฐานใหม่ในการทำให้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้และมีประโยชน์มากขึ้นสำหรับทุกคน

พื้นฐาน chainlink infographic
อินโฟกกราฟฟิกอธิบายพื้นฐานของ Chainlink(LINK)

หลักการทำงานและเทคโนโลยีของ Chainlink

Chainlink เป็นระบบนิเวศที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ากับสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) บนบล็อกเชน ด้วยการใช้เทคโนโลยีออราเคิล (Oracle), Chainlink ทำให้สัญญาอัจฉริยะสามารถประมวลผลข้อมูลจากแหล่งที่มาต่างๆ เช่น ข้อมูลอุณหภูมิ, ราคาหุ้น, ผลการแข่งขันกีฬา, และอื่นๆ ได้อย่างน่าเชื่อถือและแม่นยำ นี่คือวิธีการทำงานหลักและเทคโนโลยีที่ใช้ใน Chainlink:

  1. ออราเคิล (Oracle): Chainlink ใช้เครือข่ายออราเคิลเพื่อยืนยันและส่งผ่านข้อมูลจากโลกภายนอกเข้าสู่บล็อกเชน ออราเคิลเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างสัญญาอัจฉริยะและแหล่งข้อมูลภายนอก
  2. การเชื่อมต่อข้อมูล: ด้วยระบบการประกันคุณภาพและการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากหลายแหล่ง, Chainlink สามารถป้องกันการใช้ข้อมูลเท็จหรือผิดพลาดในการทำสัญญาอัจฉริยะ
  3. การกระจายอำนาจ: Chainlink อาศัยการกระจายอำนาจในการเลือกออราเคิลและการตรวจสอบข้อมูล เพื่อลดความเสี่ยงของจุดเดียวที่ล้มเหลว (Single Point of Failure) และเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลที่ถูกใช้
  4. สัญญาอัจฉริยะ: Chainlink ช่วยให้สัญญาอัจฉริยะสามารถปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลและบริการภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันบนบล็อกเชนที่มีความซับซ้อนและประโยชน์ใช้สอยสูงขึ้น
  5. ความปลอดภัย: ด้วยการใช้เทคนิคการเข้ารหัสและการตรวจสอบที่เข้มข้น, Chainlink ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลและการเชื่อมต่อ, ทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือสูง
  6. การปรับขนาดและการเชื่อมต่อเครือข่าย: Chainlink ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อข้ามเครือข่าย (Cross-Chain) ช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายบล็อกเชน ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีเหล่านี้, Chainlink นับเป็นหนึ่งในโซลูชันที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับการทำงานของสัญญาอัจฉริยะและการใช้งานบล็อกเชนในอุตสาหกรรมต่างๆ ช่วยให้โลกดิจิทัลและโลกจริงสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

LINK Token

LINK Token เหรียญดิจิทัลของเครือข่าย Chainlink มีความสำคัญต่อการดำเนินงานและการพัฒนาของโปรเจกต์ Chainlink โดยรวม ด้วยการออกแบบที่มุ่งเน้นการให้รางวัลแก่ผู้ให้บริการข้อมูลและโหนดที่ประมวลผลข้อมูลสำหรับสัญญาอัจฉริยะ โครงสร้างเศรษฐกิจของ LINK ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นอิสระและการกระจายอำนาจของเครือข่าย

การกระจายและการจัดการ

เหรียญ LINK มีการจัดสรรอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของเครือข่าย และการพัฒนาโปรเจกต์ในระยะยาว การจัดสรรเหรียญ LINK ครอบคลุมถึงทีมพัฒนา, ผู้ขาย, และการขายเหรียญผ่านการระดมทุน ICO การกระจายเหรียญนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่ามีการกระจายอำนาจที่เพียงพอในเครือข่าย และสนับสนุนความยั่งยืนของโปรเจกต์

กรณีการใช้งานและคุณค่า

คุณค่าหลักของ LINK มาจากการที่มันเป็นสินทรัพย์ที่จำเป็นในการใช้งานเครือข่าย Chainlink ผู้ใช้งานต้องมี LINK เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับการเรียกใช้งานออราเคิลที่ประมวลผลและส่งข้อมูลจำเป็นให้กับสัญญาอัจฉริยะ นอกจากนี้, เหรียญ LINK ยังถูกใช้เป็นการกระตุ้นเพื่อให้โหนดในเครือข่ายรักษาความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพในการให้บริการข้อมูล

คุณค่าของ LINK ไม่เพียงแต่ถูกกำหนดโดยความต้องการใช้งานภายในเครือข่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเชื่อมั่นของตลาดต่อโปรเจกต์ Chainlink และศักยภาพการเติบโตในอนาคต ด้วยการที่ Chainlink เป็นหนึ่งในโปรเจกต์บล็อกเชนที่มีการนำไปใช้งานจริงอย่างกว้างขวาง ความต้องการสำหรับ LINK จึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเครือข่ายและการขยายตัวของการใช้งานบล็อกเชนในอุตสาหกรรมต่างๆ

โครงสร้างเศรษฐกิจและการใช้งานของ LINK ทำให้มันเป็นเหรียญที่มีบทบาทสำคัญไม่เพียงแต่ในเครือข่าย Chainlink เท่านั้น แต่ยังในอุตสาหกรรมบล็อกเชนโดยรวม ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะกับข้อมูลและบริการจากโลกจริง การถือครองและการใช้งาน LINK จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ

ประโยชน์ของ Chainlink

Chainlink นำเสนอประโยชน์มากมายให้กับโลกของบล็อกเชนและการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ด้วยการเป็นสะพานเชื่อมข้อมูลระหว่างสัญญาอัจฉริยะและแหล่งข้อมูลภายนอก ประโยชน์หลักของ Chainlink สามารถสรุปได้ดังนี้:

  1. เพิ่มความสามารถของสัญญาอัจฉริยะ: Chainlink ช่วยให้สัญญาอัจฉริยะสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการจากโลกภายนอกได้ ทำให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนและประสิทธิภาพสูงขึ้น
  2. สร้างความน่าเชื่อถือ: ด้วยการใช้เครือข่ายออราเคิลที่กระจายอำนาจ, Chainlink ช่วยลดความเสี่ยงของการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือการโจมตีทางไซเบอร์ ช่วยให้ข้อมูลที่ส่งถึงสัญญาอัจฉริยะมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือ
  3. สนับสนุนการเติบโตของ DeFi: Chainlink มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาของตลาด DeFi ด้วยการให้ข้อมูลราคาและข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการทางการเงิน
  4. การรองรับหลายบล็อกเชน: Chainlink สามารถทำงานร่วมกับบล็อกเชนต่างๆ ได้หลายประเภท ทำให้เป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถนำไปใช้กับโปรเจกต์หลากหลายบนบล็อกเชนต่างๆ
  5. ความปลอดภัยและความเป็นอิสระ: Chainlink ออกแบบมาเพื่อให้มีความปลอดภัยสูงและรักษาความเป็นอิสระของข้อมูลด้วยการกระจายอำนาจ ช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ถึงความเป็นธรรมและความไม่มีอคติในข้อมูลที่ได้รับ
  6. เปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ๆ: ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อข้อมูลจากโลกภายนอก, Chainlink ช่วยเปิดโอกาสให้มีการสร้างแอปพลิเคชันและบริการใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาจากโลกจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผ่านประโยชน์เหล่านี้, Chainlink ไม่เพียงแต่แสดงศักยภาพในการเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญสำหรับโลกของบล็อกเชนและ DeFi เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถให้บริการและสร้างนวัตกรรมที่มีความหมายมากขึ้นต่อสังคม

การประยุกต์ใช้ Chainlink

การใช้งาน Chainlink ในโปรเจ็กต์และการร่วมมือต่างๆ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความยืดหยุ่นของเทคโนโลยีนี้ในการนำไปใช้ประโยชน์ในหลากหลายด้าน

ตัวอย่างโปรเจ็กการประยุกต์ใช้

  1. การเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi): Chainlink ถูกนำไปใช้ในโปรเจกต์ DeFi หลายโปรเจกต์เพื่อเป็นตัวกลางให้ข้อมูลราคาที่เชื่อถือได้ เช่น การให้ข้อมูลราคาสินทรัพย์ต่างๆ ให้กับแพลตฟอร์มการเงิน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำการซื้อขาย, กู้ยืม, หรือให้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ
  2. ประกันภัย: มีโปรเจกต์ประกันภัยที่ใช้ Chainlink เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลจากโลกจริง เช่น ข้อมูลสุขภาพ ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกัน
  3. เกมและ NFTs: Chainlink ถูกใช้ในโปรเจกต์เกมและตลาด NFT เพื่อให้ข้อมูลแรนดอมที่เชื่อถือได้สำหรับการสร้างความไม่แน่นอนและความยุติธรรมในเกมหรือการจัดสรร NFT อย่างยุติธรรม

การร่วมมือกับโครงการอื่น

Chainlink มีการร่วมมือกับโปรเจกต์และองค์กรต่างๆ มากมาย เพื่อนำเทคโนโลยีออราเคิลไปใช้ในการเชื่อมต่อข้อมูลและบริการจากโลกจริง เช่น:

  • Swift: Chainlink ได้ทำงานร่วมกับ Swift ซึ่งเป็นระบบการสื่อสารทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก เพื่อสำรวจวิธีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและออราเคิลในการปรับปรุงการทำธุรกรรมทางการเงิน
  • Google: Chainlink ได้รับการสนับสนุนจาก Google Cloud ในการพัฒนาโปรเจกต์ที่ใช้เทคโนโลยีของ Chainlink เพื่อเชื่อมต่อบริการของ Google Cloud กับสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชน
  • Oracle: ร่วมมือกับ Oracle เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อข้อมูลจาก Oracle Cloud ไปยังสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนได้อย่างง่ายดาย

การร่วมมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและการยอมรับของเทคโนโลยี Chainlink ในหมู่องค์กรและโปรเจกต์ชั้นนำ แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในหลากหลายด้านของธุรกิจและการพัฒนาสังคม

หลักการทำงานและเทคโนโลยีของ Chainlink(LINK)
อินโฟกราฟฟิกอธิบายถึงหลักการทำงานและเทคโนโลยีของ Chainlink(LINK)

เปรียบเทียบ LINK กับเหรียญอื่นๆ

Chainlink (LINK) เป็นโปรเจกต์ที่มีบทบาทสำคัญในโลกของบล็อกเชนด้วยการเป็นสะพานเชื่อมข้อมูลระหว่างสัญญาอัจฉริยะกับแหล่งข้อมูลภายนอก ด้านล่างนี้คือการเปรียบเทียบระหว่าง Chainlink กับเหรียญอื่นๆ ในตลาดคริปโตเคอเรนซี่:

  • Chainlink (LINK) กับ Ethereum (ETH)
    • Ethereum (ETH): เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะและการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (DApps) ที่ใหญ่ที่สุด ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและใช้งานสัญญาอัจฉริยะได้อย่างอิสระ
    • การเปรียบเทียบ: Chainlink ไม่ได้แข่งขันโดยตรงกับ Ethereum แต่เสริมความสามารถของ Ethereum ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะกับข้อมูลจากโลกภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ Ethereum ทำไม่ได้โดยตรง
  • Chainlink (LINK) กับ Bitcoin (BTC)
    • Bitcoin (BTC): เป็นเหรียญคริปโตเคอเรนซี่แรกและใหญ่ที่สุด โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อเป็นสกุลเงินดิจิทัลและเก็บค่า
    • การเปรียบเทียบ: Bitcoin และ Chainlink มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Bitcoin เน้นที่การเป็นสกุลเงินขณะที่ Chainlink เน้นที่การเป็นสะพานเชื่อมข้อมูล ทั้งสองเสริมสร้างความสามารถของกันและกันในอีโคซิสเต็มของคริปโตเคอเรนซี่
  • Chainlink (LINK) กับ Ripple (XRP)
    • Ripple (XRP): มุ่งเน้นไปที่การเป็นเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศ ที่เร็วและมีค่าใช้จ่ายต่ำ
    • การเปรียบเทียบ: แม้ Ripple จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ แต่ Chainlink มุ่งเน้นที่การเชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะกับข้อมูลจากโลกภายนอก ทั้งสองโปรเจกต์นี้จึงเสริมสร้างศักยภาพของกันและกันในการพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี่
  • Chainlink (LINK) กับ Polkadot (DOT)
    • Polkadot (DOT): มุ่งสร้างระบบนิเวศที่ช่วยให้บล็อกเชนต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหล
    • การเปรียบเทียบ: ในขณะที่ Polkadot มุ่งมั่นที่จะสร้างความเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายบล็อกเชนต่างๆ, Chainlink สนใจที่จะนำข้อมูลจากโลกภายนอกมาใช้กับสัญญาอัจฉริยะบนเครือข่ายบล็อกเชน การทำงานของทั้งสองโปรเจกต์จึงเป็นการเติมเต็มและขยายขีดความสามารถของกันและกัน ช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี่เติบโตและพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สรุป Chainlink

โดยสรุปแล้ว Chainlink (LINK) เป็นเครือข่ายออราเคิลที่กระจายอำนาจซึ่งมีหน้าที่หลักในการเชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนกับข้อมูลจากโลกภายนอกอย่างน่าเชื่อถือและปลอดภัย ด้วยการใช้เทคโนโลยีออราเคิล, Chainlink ช่วยให้สัญญาอัจฉริยะสามารถดึงข้อมูลจากแหล่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ เช่น ราคาสินค้า, ข้อมูลสภาพอากาศ, ผลการแข่งขันกีฬา ฯลฯ ทำให้สัญญาอัจฉริยะมีความสามารถและประโยชน์ใช้สอยที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

Chainlink มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาของโลกการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) โดยการให้ข้อมูลราคาที่เชื่อถือได้และข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการทางการเงินและสัญญาอัจฉริยะในโลก DeFi

การนำเสนอเหรียญ LINK ในเครือข่าย Chainlink ช่วยให้โหนดที่ให้บริการข้อมูลได้รับการกระตุ้นและรางวัลสำหรับการให้บริการข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ส่งผลให้เครือข่ายมีความปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือสูง

โปรเจกต์ Chainlink ถือเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงโลกของบล็อกเชนกับข้อมูลจากโลกจริง ช่วยให้สัญญาอัจฉริยะมีความสามารถที่หลากหลายและสามารถตอบสนองต่อความต้องการในโลกจริงได้ ทำให้ Chainlink เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Chainlink (FAQs)

  1. Chainlink (LINK) คืออะไร?
    • Chainlink เป็นเครือข่ายออราเคิลที่กระจายอำนาจ ซึ่งออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนกับข้อมูลจากโลกภายนอก ทำให้สัญญาอัจฉริยะสามารถดำเนินการตามข้อมูลจริงได้
  2. LINK ใช้ทำอะไร?
    • LINK เป็นเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ของเครือข่าย Chainlink ที่ใช้สำหรับการชำระค่าธรรมเนียมการให้บริการข้อมูล และเป็นรางวัลให้กับผู้ให้บริการข้อมูลและโหนดที่ทำงานภายในเครือข่าย
  3. Chainlink ดีอย่างไร?
    • Chainlink ช่วยลดช่องว่างระหว่างสัญญาอัจฉริยะที่ต้องการข้อมูลจากโลกภายนอกเพื่อดำเนินการ ช่วยให้การใช้งานสัญญาอัจฉริยะมีความเป็นไปได้และมีประโยชน์มากขึ้น
  4. Chainlink ปลอดภัยหรือไม่?
    • Chainlink ออกแบบมาเพื่อมีความปลอดภัยสูงด้วยการใช้เครือข่ายออราเคิลที่กระจายอำนาจ ลดความเสี่ยงจากการโจมตีและการจัดการข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
  5. สามารถซื้อ LINK ได้จากไหน?
    • LINK สามารถซื้อได้จากแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี่หลายแห่ง รวมถึง Binance, Coinbase, Kraken และอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับว่าแพลตฟอร์มนั้นๆ มีการรองรับเหรียญ LINK หรือไม่

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ bitblockthai