Polygon (MATIC) คืออะไร?

รู้จักกับ Polygon(MATIC) มันถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการสร้างและเชื่อมต่อเครือข่ายบล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเครือข่าย Ethereum ที่ประสบปัญหาด้านความเร็วในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่สูง Polygon มุ่งมั่นที่จะเสนอโซลูชันที่ทำให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้นและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนาสามารถสร้างและใช้งานแอปพลิเคชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผ่านบทความนี้ เราจะนำคุณไปรู้จักกับ Polygon อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ประวัติ โครงสร้างพื้นฐาน การทำงาน คุณลักษณะเด่น และการใช้งานในโลกจริง รวมถึงการลงทุนและอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน นักพัฒนาที่ต้องการสร้างโซลูชั่นบนบล็อกเชน หรือแค่เป็นผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน บทความนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลที่คุณไม่ควรพลาด

Polygon (MATIC) คืออะไร?

Polygon ซึ่งเดิมชื่อ Matic Network เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการเทคโนโลยี Layer 2 Scaling Solutions บนบล็อกเชนของ Ethereum มันถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาหลักที่ Ethereum พบเจอ ได้แก่ ความล่าช้าในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูง ด้วยการใช้โครงสร้างพื้นฐานของ Polygon, แอปพลิเคชันต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีความสามารถในการขยายขนาดมากขึ้นโดยไม่ต้องทำสัญญาอัตโนมัติบน Ethereum โดยตรง

หัวใจหลักของ Polygon คือ PoS (Proof of Stake) Chain ที่ช่วยให้มันสามารถบรรลุความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงและลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสนับสนุนระบบนิเวศของ Ethereum อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้นักพัฒนาสามารถย้าย DApps (Decentralized Applications) จาก Ethereum มายัง Polygon ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงโค้ดอย่างมาก

ความสามารถในการทำงานร่วมกับ Ethereum และโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้ Polygon เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับโปรเจคต่างๆ ในอุตสาหกรรมคริปโต เช่น DeFi (Decentralized Finance), NFTs (Non-Fungible Tokens), และเกมบล็อกเชน ด้วยศักยภาพในการขยายตัวและสนับสนุนการใช้งานที่หลากหลาย, Polygon กลายเป็นหนึ่งในโครงการที่น่าจับตามองที่สุดในโลกของคริปโตเคอเรนซี่และบล็อกเชน

ก่อนอื่นรู้จักที่มาที่ไปของเจ้า Polygon กันก่อนครับ

ประวัติ Polygon

ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดย Jaynti Kanani, Sandeep Nailwal, Anurag Arjun และ Mihailo Bjelic, Polygon เริ่มต้นด้วยชื่อ Matic Network โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาของ Ethereum ด้วยการนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับการพัฒนาและการใช้งาน DApps (Decentralized Applications) ตั้งแต่นั้นมา Matic Network ได้พัฒนาและขยายความสามารถอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโลกคริปโต

ในปี 2021 Matic Network ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น Polygon โดยมีเป้าหมายที่จะขยายขอบเขตการทำงานจากการเป็นเพียงโซลูชัน Layer 2 ของ Ethereum ไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนโครงการบล็อกเชนหลายโครงการ (Multi-Chain Ecosystem) การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการขยายตัวของโครงการเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศถึงวิสัยทัศน์ใหม่ในการเชื่อมต่อและการสนับสนุนเครือข่ายบล็อกเชนที่หลากหลาย ทำให้ Polygon เป็นหนึ่งในโครงการที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่

Infographic อธิบายพื้นฐาน Polygon (MATIC)
อินโฟกราฟฟิกอธิบายถึงพื้นฐานของ Polygon(MATIC)

แล้วจุดดีที่โดดเด่นของ Polygon มันมีอะไรบ้าง?

จุดเด่นของ Polygon

Polygon เป็นโครงการที่มีคุณลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้มันโดดเด่นในโลกของคริปโตเคอเรนซี่และบล็อกเชน ด้วยการเสนอโซลูชั่นที่แก้ไขปัญหาด้านความเร็วในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่สูงของเครือข่าย Ethereum ปัจจุบัน Polygon มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้บล็อกเชน นี่คือคุณลักษณะเด่นหลักของ Polygon:

  1. ความเร็วในการทำธุรกรรม: ด้วยการใช้โครงสร้างพื้นฐาน Layer 2 และเทคโนโลยี Proof of Stake, Polygon สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เร็วขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเครือข่าย Ethereum หลัก นี่ทำให้มันเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็วสูง เช่น การแลกเปลี่ยนในตลาด DeFi หรือการทำธุรกรรมในเกม
  2. ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ: หนึ่งในประโยชน์สำคัญของ Polygon คือความสามารถในการลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้งานที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
  3. ความสามารถในการขยายตัว: Polygon ช่วยให้เครือข่าย Ethereum สามารถขยายขนาดได้มากขึ้นโดยไม่สูญเสียความปลอดภัยหรือความเป็นศูนย์กลาง นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรองรับจำนวนผู้ใช้งานและแอปพลิเคชันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  4. การรองรับมาตรฐานของ Ethereum: Polygon ออกแบบมาให้เข้ากันได้กับมาตรฐานการพัฒนาของ Ethereum เช่น ERC-20 สำหรับโทเค็นและ ERC-721 สำหรับ NFTs นี้ทำให้มันง่ายสำหรับนักพัฒนาในการย้ายแอปพลิเคชันจาก Ethereum ไปยัง Polygon
  5. ความปลอดภัยและความเชื่อถือได้: แม้ว่า Polygon จะเป็น Layer 2 Scaling Solution แต่ก็ไม่ได้ลดความสำคัญของความปลอดภัยและความเชื่อถือได้ ด้วยการใช้กลไก Proof of Stake และการเชื่อมต่อกับเครือข่าย Ethereum หลัก Polygon สามารถให้บริการที่มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
  6. ชุมชนและการสนับสนุน: หนึ่งในจุดแข็งของ Polygon คือชุมชนที่ใหญ่โตและมีการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงนักพัฒนา ผู้ใช้งาน และนักลงทุน นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เครือข่ายเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยคุณลักษณะเด่นเหล่านี้ Polygon ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่มีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนการใช้งานบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่ในอนาคต

ต่อไปมารู้จักเทคโนโลยีและหลักการทำงานของเจ้า Polygon กันครับ

โครงสร้างเทคโนโลยีพื้นฐานและหลักการทำงานของ Polygon

Polygon PoS (Proof of Stake)

Polygon PoS (Proof of Stake) เป็นโครงการหนึ่งในเครือข่าย Polygon ที่ใช้กลไกการยืนยันธุรกรรมแบบ Proof of Stake เพื่อรักษาความปลอดภัยและสร้างบล็อกใหม่บนเครือข่าย

ในระบบ Proof of Stake ผู้ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ต้อง “Stake” หรือ “ล็อค” โทเค็น MATIC ของพวกเขาเป็นประกัน ผู้ที่มีโทเค็น MATIC ถูก Stake มากกว่ามีโอกาสมากขึ้นที่จะถูกเลือกให้ยืนยันธุรกรรมและรับรางวัลในรูปแบบของโทเค็น MATIC มากขึ้น นอกจากนี้ ระบบยังมีการออกแบบมาเพื่อป้องกันการกระทำทุจริต หากผู้ที่ Stake โทเค็นพยายามทำธุรกรรมทุจริต พวกเขาอาจสูญเสียโทเค็นที่ถูก Stake ไป

Polygon PoS ไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการทำธุรกรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เครือข่ายมีความยืดหยุ่นและสามารถขยายขนาดได้มากขึ้น โดยไม่สร้างภาระให้กับเครือข่ายหลักของ Ethereum เพิ่มขึ้น การใช้ระบบ Proof of Stake ใน Polygon PoS ทำให้เป็นหนึ่งในโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันบนบล็อกเชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอปพลิเคชันที่ต้องการความรวดเร็วและประสิทธิภาพสูงในการทำธุรกรรม

Polygon CDK Layer 2 Scaling Solutions

Layer 2 Scaling Solutions หรือ โซลูชั่นการขยายขนาดชั้นที่ 2 คือ เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายตัวของเครือข่ายบล็อกเชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Ethereum เนื่องจาก Ethereum มีข้อจำกัดเรื่องความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมที่ต่ำและค่าธรรมเนียมที่สูง เทคโนโลยี Layer 2 จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ โดยการทำธุรกรรมนอกเครือข่ายหลัก (off-chain) หรือบนเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายหลัก (sidechains) เพื่อลดภาระและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม

การใช้ Layer 2 Scaling Solutions นำมาซึ่งหลายประโยชน์ รวมถึงการเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยให้การโอนเงินหรือการทำธุรกรรมอื่นๆ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเมื่อทำธุรกรรมบนเครือข่าย ท้ายที่สุด Layer 2 ช่วยให้เครือข่าย Ethereum สามารถขยายขนาดและรองรับผู้ใช้จำนวนมากขึ้นโดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพหรือความปลอดภัย

Polygon ถือเป็นหนึ่งในโซลูชั่น Layer 2 ที่โดดเด่นที่สุดสำหรับ Ethereum ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เข้ากันได้ดีกับเครือข่าย Ethereum ทำให้มันเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่าง Ethereum และโครงการต่างๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและค่าใช้จ่ายที่ต่ำ Polygon ให้บริการ Proof of Stake (PoS) sidechains ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันของตนบนโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้และปลอดภัย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดของ Ethereum นอกจากนี้ Polygon ยังให้การสนับสนุนแก่มาตรฐานโทเค็นของ Ethereum เช่น ERC-20 และ ERC-721 ซึ่งหมายความว่าโทเค็นและ NFT ที่สร้างบน Ethereum สามารถย้ายมายัง Polygon ได้อย่างง่ายดาย การทำงานร่วมกันนี้เป็นการรวมกันของความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ Ethereum และ Polygon นำเสนอ สร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้งาน.

Polygon zkEVM

Polygon zkEVM เป็นหนึ่งในนวัตกรรมล่าสุดจาก Polygon ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายตัวของเครือข่าย Ethereum โดยใช้เทคโนโลยี zero-knowledge proofs (zk-proofs). “zkEVM” ย่อมาจาก “Zero-Knowledge Ethereum Virtual Machine” ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้เข้ากันได้โดยตรงกับ Ethereum Virtual Machine (EVM) แต่มีคุณสมบัติพิเศษคือการใช้ zero-knowledge proofs เพื่อปรับปรุงความเป็นส่วนตัวและการขยายตัว

Zero-knowledge proofs คือ เทคนิคการพิสูจน์ที่อนุญาตให้หนึ่งฝ่าย (ผู้พิสูจน์) สามารถพิสูจน์ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้ตรวจสอบ) ว่าพวกเขาทราบข้อมูลหนึ่งๆ โดยไม่เปิดเผยข้อมูลนั้นโดยตรง ในบริบทของ Polygon zkEVM, เทคนิคนี้ช่วยลดข้อมูลที่จำเป็นต้องประมวลผลและบันทึกบนบล็อกเชน เพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม และลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดและปรับปรุงความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรม

Polygon zkEVM จึงเป็นก้าวที่สำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน เนื่องจากมันเสนอวิธีการใหม่ในการขยายขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครือข่าย Ethereum โดยไม่ต้องทำสัญญาอัตโนมัติหรือแอปพลิเคชันอื่นๆ และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ Polygon ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับอนาคตของเทคโนโลยีบล็อกเชนและการใช้งานคริปโตเคอเรนซี่

Polygon ID

Polygon ID เป็นระบบตัวตนดิจิทัลที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชนของ Polygon ซึ่งมุ่งเน้นการให้ความสามารถในการพิสูจน์และจัดการกับข้อมูลส่วนบุคคลในวิธีที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นส่วนตัว ระบบนี้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี zero-knowledge proofs (ZKPs) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถพิสูจน์ข้อมูลส่วนบุคคลหรือคุณสมบัติทางดิจิทัลได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลจริงนั้นๆ

ตัวอย่างเช่น ด้วย Polygon ID ผู้ใช้สามารถพิสูจน์ต่อบุคคลที่สามว่าพวกเขามีอายุเกินกว่าที่กำหนดสำหรับการเข้าถึงบริการหนึ่งๆ โดยไม่ต้องเปิดเผยวันเดือนปีเกิดจริงของตน นี่ช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลถูกคุ้มครอง ในขณะเดียวกันก็ให้ความสะดวกในการพิสูจน์และใช้งานข้อมูลสำคัญในรูปแบบดิจิทัล

Polygon ID จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสำหรับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลในโลกดิจิทัล มันเปิดโอกาสให้กับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การรับรองความถูกต้องของผู้ใช้ในระบบ DeFi, การยืนยันตัวตนในการเข้าใช้งานบริการต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมและการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บนเทคโนโลยีบล็อกเชน

Matic Coin

MATIC เป็นโทเค็นดิจิทัลของเครือข่าย Polygon ซึ่งเดิมชื่อ Matic Network ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Polygon โทเค็น MATIC มีหลายบทบาทและการใช้งานหลักในเครือข่าย Polygon ได้แก่:

  1. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม: ผู้ใช้ต้องใช้โทเค็น MATIC เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Polygon ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการทำธุรกรรมบน Ethereum หลัก
  2. การสนับสนุนการทำงานของเครือข่าย: โทเค็น MATIC ถูกใช้เป็นรางวัลให้กับผู้ที่เข้าร่วมในกระบวนการ Staking ซึ่งช่วยในการรักษาความปลอดภัยและความเสถียรของเครือข่าย
  3. การปกครอง: โทเค็น MATIC ยังใช้ในการโหวตหรือการตัดสินใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหรือการอัปเดตในเครือข่าย Polygon ผู้ถือโทเค็นมีสิทธิ์เสนอแนะและโหวตเกี่ยวกับข้อเสนอต่างๆ
  4. การใช้งานในแอปพลิเคชัน: นอกจากการใช้งานด้านการทำธุรกรรมและการปกครองแล้ว MATIC ยังสามารถใช้เป็นสกุลเงินภายในแอปพลิเคชันต่างๆ ที่สร้างขึ้นบนเครือข่าย Polygon ได้

โทเค็น MATIC เป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนการทำงานและการพัฒนาของเครือข่าย Polygon ทำให้เป็นหนึ่งในโทเค็นที่มีการติดตามและลงทุนโดยนักลงทุนคริปโตเคอเรนซี่อย่างกว้างขวาง

แล้วมันเอามาใช้งานอะไรได้บ้าง

Polygon ใช้งานอะไรได้บ้าง?

Polygon ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่ ด้วยคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง รวมถึงความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ Polygon จึงเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาและการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ นี่คือตัวอย่างของการใช้งานและแอปพลิเคชันที่สำคัญบน Polygon:

  • DeFi (Decentralized Finance): Polygon มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโปรเจกต์ DeFi โดยมีแพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายอำนาจหลายรายที่เลือกใช้โครงสร้างพื้นฐานของ Polygon เพื่อให้ผู้ใช้สามารถยืม ให้ยืม แลกเปลี่ยน และจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
  • NFT (Non-Fungible Tokens): Polygon กลายเป็นหนึ่งในเครือข่ายยอดนิยมสำหรับการสร้างและการซื้อขาย NFT ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำและความเร็วในการทำธุรกรรม นักสะสมและศิลปินจึงสามารถสร้าง จัดแสดง และซื้อขายผลงานศิลปะดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย
  • เกมบนบล็อกเชน: Polygon ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่นิยมสำหรับการพัฒนาเกมบนบล็อกเชน โดยเกมเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของบล็อกเชนเพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงการมีส่วนร่วมของผู้เล่นในการควบคุมและการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในเกม
  • การปกครองแบบกระจายอำนาจ (DAO): Polygon สนับสนุนการสร้างและการจัดการ DAO ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีโครงสร้างกลาง แต่ทำงานผ่านกฎเกณฑ์ที่เขียนไว้ในสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ช่วยให้การตัดสินใจและการจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
  • แอปพลิเคชันด้านความเป็นส่วนตัวและตัวตนดิจิทัล: ด้วยการใช้เทคโนโลยีเช่น zero-knowledge proofs, Polygon ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่เน้นความเป็นส่วนตัว เช่น Polygon ID, ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการและแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างปลอดภัย

การใช้งานและแอปพลิเคชันเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและความเป็นไปได้ที่ Polygon นำเสนอให้กับโลกของบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่ ทำให้มันเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและมีอิทธิพลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตในอุตสาหกรรม

เทคโนโลยีและหลักการทำงานของ Polygon (MATIC)
อินโฟกราฟฟิกอธิบายถึงเทคโนโลยีและหลักการทำงานของ Polygon (MATIC)

ต่อมาเราลองเอาเจ้า Polygon มันเปรียบกับเหรียญอื่นๆ ที่คล้ายกันครับ

เปรียบเทียบ MATIC กับเหรียญอื่นๆ

ในวงการคริปโตเคอเรนซี่และเทคโนโลยีบล็อกเชน มีหลายโครงการที่พัฒนามาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดและเพิ่มความสามารถของเครือข่ายบล็อกเชน Polygon เป็นหนึ่งในโครงการเหล่านั้นที่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพและการขยายขนาดสำหรับ Ethereum แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ Ethereum, Binance Smart Chain และ Solana ล้วนแล้วแต่มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน:

  • Ethereum:
    • เป็นบล็อกเชนชั้นนำที่สนับสนุนสัญญาอัจฉริยะและเป็นพื้นฐานของการสร้าง DApps หลายพันแอปพลิเคชัน
    • ประสบปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมสูงและความสามารถในการขยายตัวที่จำกัด
    • กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเปลี่ยนไปใช้กลไก Proof of Stake เพื่อลดปัญหาเหล่านี้
    • Polygon ถูกสร้างบน Blockchain Ethereum เพื่อแก้ไขปัญหาของ Ethereum เอง
  • Binance Smart Chain (BSC):
    • ให้ความเร็วในการทำธุรกรรมสูงและค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะกับโปรเจกต์ DeFi และ NFTs
    • ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเป็นศูนย์กลางเพราะการควบคุมโดย Binance
    • เข้ากันได้กับ EVM ทำให้สามารถรองรับสัญญาอัจฉริยะและ DApps ที่พัฒนาสำหรับ Ethereum
  • Solana:
    • มีความเร็วในการทำธุรกรรมสูงมากและรองรับการขยายตัวได้ดี เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
    • ใช้กลไก Proof of History (PoH) ร่วมกับ Proof of Stake (PoS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    • ประสบปัญหาด้านความเสถียรภาพในบางครั้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งาน
  • Polygon:
    • เป็น Layer 2 Scaling Solution สำหรับ Ethereum ที่มุ่งเน้นไปที่การลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม
    • รองรับการพัฒนา DApps ด้วยความเข้ากันได้สูงกับ Ethereum Virtual Machine (EVM)
    • ให้ความยืดหยุ่นสูงในการพัฒนาโปรเจกต์ด้วยโครงสร้างต่างๆ เช่น zk-Rollups และ Optimistic Rollups

แต่ละโครงการมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมกับโปรเจกต์ที่จะพัฒนา การเลือกใช้เทคโนโลยีจึงควรพิจารณาจากความต้องการเฉพาะของโปรเจกต์นั้นๆ

ความท้าทายของ Pologon

แม้ว่า Polygon จะเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่มีศักยภาพและได้รับความนิยมสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องเผชิญอยู่เสมอ ความท้าทายเหล่านี้มีทั้งในด้านเทคนิคและด้านการยอมรับจากชุมชน ดังต่อไปนี้:

  • การขยายตัวและประสิทธิภาพ: แม้ว่า Polygon จะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของ Ethereum แต่ก็ยังมีความท้าทายในการรักษาความเร็วและประสิทธิภาพในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อจำนวนผู้ใช้และการใช้งานเพิ่มขึ้น
  • ความปลอดภัย: โครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนและการเชื่อมต่อกับ Ethereum ทำให้ Polygon ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความปลอดภัย การอัปเดตและการปรับปรุงต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันช่องโหว่
  • การแข่งขันในอุตสาหกรรม: ด้วยการเติบโตของโครงการบล็อกเชนมากมายที่มุ่งเน้นการขยายตัวและประสิทธิภาพ เช่น Solana และ Binance Smart Chain Polygon ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นผู้นำและความน่าสนใจในตลาด
  • การยอมรับจากผู้ใช้และนักพัฒนา: การทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนาเปลี่ยนจาก Ethereum หรือโครงสร้างพื้นฐานอื่นไปใช้ Polygon อาจเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกับโปรเจกต์ที่ต้องการความมั่นใจสูงในความเสถียรและความปลอดภัย
  • การรักษาความเป็นกลางและเปิดเผย: ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญ Polygon ต้องรักษาความเป็นกลางและเปิดเผยเพื่อรักษาความไว้วางใจจากชุมชนและผู้ใช้
  • การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี: ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วในเทคโนโลยีบล็อกเชน Polygon ต้องอัปเดตและปรับปรุงเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการใช้งานใหม่ๆ และรักษาความเป็นผู้นำ

การเอาชนะความท้าทายเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ Polygon สามารถรักษาความเป็นผู้นำในการเป็นโซลูชันสำหรับการขยายตัวและประสิทธิภาพของเครือข่ายบล็อกเชนได้

อนาคตของ Polygon

อนาคตของ Polygon ดูเป็นไปในทิศทางที่สดใสด้วยการเติบโตและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่ ด้วยฐานของเครือข่าย Ethereum ที่มีความแข็งแกร่งและการเป็นโซลูชัน Layer 2 ที่ได้รับความนิยม Polygon มีศักยภาพในการเป็นหนึ่งในผู้นำที่สำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมบล็อกเชนไปสู่การใช้งานจริงมากขึ้น นี่คือมุมมองเกี่ยวกับอนาคตที่อาจเกิดขึ้นกับ Polygon:

  • การเพิ่มประสิทธิภาพและการขยายตัว: ด้วยการพัฒนาและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง Polygon จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและการขยายตัวของเครือข่ายได้อีกมาก ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้นและมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง
  • การรองรับแอปพลิเคชัน Web3 มากขึ้น: ด้วยความสามารถของ Polygon ในการรองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่หลากหลาย อนาคตจะเห็นการเติบโตของแอปพลิเคชัน Web3 ที่สร้างขึ้นบน Polygon เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่ DeFi ไปจนถึง NFTs และเกม
  • การรับรองมาตรฐานความยั่งยืน: ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเทคโนโลยีบล็อกเชน Polygon มีโอกาสในการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • การขยายความร่วมมือ: การร่วมมือกับโครงการอื่นๆ และบริษัทต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการขยายการใช้งานและการยอมรับของ Polygon การเป็นพันธมิตรกับเครือข่ายอื่นๆ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงและการใช้งานบนเครือข่าย Polygon
  • การปรับตัวต่อนวัตกรรมใหม่ๆ: ด้วยโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Polygon จำเป็นต้องปรับตัวและนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำและความน่าสนใจในตลาด

การพัฒนาต่อเนื่องและการเติบโตของ Polygon จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ และแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมบล็อกเชน ด้วยการยึดมั่นในนวัตกรรมและการพัฒนา Polygon มีศักยภาพที่จะเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนอนาคตของเทคโนโลยีบล็อกเชนและการใช้งานคริปโตเคอเรนซี่

สรุป Polygon

โดยสรุปแล้ว Polygon คือโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่มุ่งเน้นการขยายตัวและประสิทธิภาพของเครือข่าย Ethereum ด้วยการเป็น Layer 2 Scaling Solution ที่มีความเร็วสูงและค่าธรรมเนียมต่ำ Polygon ได้กลายเป็นหนึ่งในโครงการบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมและมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นในโปรเจกต์ DeFi, NFTs, เกมบนบล็อกเชน และแอปพลิเคชัน Web3

ด้วยการรองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่หลากหลายและการเข้ากันได้กับ Ethereum Virtual Machine (EVM) Polygon ช่วยให้นักพัฒนาสามารถย้ายโปรเจกต์มายังเครือข่ายของตนได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันก็รักษาความปลอดภัยและความเป็นศูนย์กลางที่น้อยลง เปิดโอกาสให้มีการสร้างนวัตกรรมและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แม้จะมีความท้าทายและอุปสรรคบางประการ เช่น การขยายตัวและการรักษาความปลอดภัย แต่การพัฒนาและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Polygon ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่จะเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่มีอิทธิพลสูงในอนาคต ด้วยนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี Polygon มีโอกาสในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและการยอมรับของเทคโนโลยีบล็อกเชนในหลากหลายอุตสาหกรรม สร้างโอกาสใหม่ๆ และเปิดทางสู่การใช้งานคริปโตเคอเรนซี่และเทคโนโลยีบล็อกเชนในวงกว้าง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Polygon (FAQs)

  1. Polygon คืออะไร?
    • Polygon เป็นโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่เสนอโซลูชัน Layer 2 Scaling สำหรับ Ethereum เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมและลดค่าธรรมเนียม โดยไม่ลดทอนความปลอดภัยและความเป็นศูนย์กลาง
  2. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบน Polygon คือเท่าไร?
    • ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบน Polygon มีความแปรผัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะต่ำกว่าการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum หลักมาก ทำให้มันเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการทำธุรกรรมที่ต้องการค่าใช้จ่ายต่ำ
  3. Polygon และ Ethereum แตกต่างกันอย่างไร?
    • Ethereum เป็นเครือข่ายบล็อกเชนหลักที่สนับสนุนสัญญาอัจฉริยะและ DApps ในขณะที่ Polygon เป็น Layer 2 Scaling Solution ที่สร้างขึ้นเพื่อขยายตัวและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Ethereum โดยเฉพาะ
  4. Polygon ปลอดภัยหรือไม่?
    • Polygon ได้รับการออกแบบมาเพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายโดยใช้กลไก Proof of Stake และมีการทดสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรตรวจสอบโปรเจกต์และการใช้งานบน Polygon อย่างรอบคอบ
  5. สามารถใช้งาน Polygon ได้อย่างไร?
    • การใช้งาน Polygon เริ่มต้นด้วยการมีกระเป๋าเงินที่รองรับเครือข่าย Polygon เช่น MetaMask จากนั้นคุณสามารถเชื่อมต่อกระเป๋าเงินของคุณกับแอปพลิเคชันที่สนับสนุน Polygon และทำธุรกรรมได้ตามปกติ
  6. ผมสามารถพัฒนา DApp บน Polygon ได้อย่างไร?
    • นักพัฒนาสามารถใช้เครื่องมือและเอกสารประกอบที่ Polygon มีให้ เพื่อเริ่มต้นพัฒนา DApps บน Polygon การรองรับ EVM ทำให้สามารถย้าย DApps จาก Ethereum มายัง Polygon ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงโค้ดอย่างมาก

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ bitblockthai